แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
ตอบทุกข้อสงสัย เรื่องที่คุณไม่รู้ในโรคตับอักเสบ

โรคตับอักเสบ

ตับ มีหน้าที่สร้างน้ำดี และโปรตีนสำคัญหลายชนิดที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการกำจัดสารพิษ ย่อยสลายไขมัน เก็บสะสมวิตามิน เกลือแร่ และธาตุเหล็ก รวมทั้งกักเก็บพลังงานไว้ในรูปแบบของน้ำตาล ซึ่งหากเราละเลยการดูแลสุขภาพตับของเรา เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก รับประทานอาหารมีไขมันสูง การรับประทานยาหรืออาหารเสริมติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือสูบบุหรี่ ก็อาจทำให้เสี่ยงที่จะเกิดโรคตับอักเสบได้

ถึงแม้ปัจจุบันจะมีช่องทางในการติดตามข้อมูลข่าวสารที่มากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคตับอักเสบอยู่ เราจึงได้รวบรวมคำถามยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่อยากรู้เกี่ยวกับโรคตับอักเสบมาให้ทุกคนได้ทราบกัน


Q: ภาวะตับอักเสบเกิดขึ้นจากสาเหตุใด

A: ภาวะตับอักเสบเกิดจากหลายสาเหตุ และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบก็เป็นสาเหตุหลัก อย่างหนึ่ง โดยภาวะตับอักเสบคือ ภาวะที่เซลล์ตับเกิดความผิดปกติ แล้วส่งผลให้การทำหน้าที่ต่างๆ ภายในตับเกิดความผิดปกติ มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือแบบแสดงอาการและไม่แสดงอาการ หากการอักเสบของตับไม่หายและกลายเป็นตับอักเสบระยะเรื้อรัง จะเกิดพังผืดหรือแผลเป็นในเนื้อตับ จนกลายเป็นภาวะตับแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ


Q: ตับอักเสบติดต่อได้ง่ายจริงหรือไม่

A: การติดต่อของไวรัสตับอักเสบมีได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสตับอักเสบดังนี้

    ไวรัสตับอักเสบเอ และอี สามารถติดต่อได้โดยผ่านทางอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
    ไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อได้ผ่านทางเลือด โดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การล้างไต เจาะหู สัก การใช้ใบมีดโกน รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์และจากมารดาสู่บุตร
    ไวรัสตับอักเสบดี เป็นไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยโปรตีนของไวรัสตับอักเสบปี ในการเข้าสู่เซลล์ตับ ดังนั้นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี จึงเกิดเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเท่านั้น การติดต่อจึงเกิดขึ้นผ่านทางเลือด โดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การล้างไต เจาะหู สัก การใช้ใบมีดโกน รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ เช่นเดียวกันกับไวรัสตับอักเสบ บี


Q: จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคตับอักเสบ

A: ในตอนแรกผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักสบจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่เมื่อมีการอักเสบที่ตับมากขึ้น ผู้ติดเชื้อจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือ ภาวะดีซ่าน นอกจากการสังเกตอาการดังกล้าวเบื้องต้นแล้ว ยังสามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาค่าการทำงานของตับ รวมถึงการตรวจไขมันพอกดับและพังพืดในเนื้อตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan)


Q: ตับอักเสบรักษาหายได้หรือไม่ และสามารถหายเองได้ไหม

A: โรคตับอักเสบมีด้วยกันสองประเภท คือ ภาวะเฉียบพลัน และภาวะเรื้อรัง โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ และอี ส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เองและร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคเพื่อไม่ให้เป็นซ้ำอีก และไม่กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง แต่ไวรัสตับอักเสบอีนั้น มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะในหญิงที่ตั้งครรภ์และผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง จนอาจแท้งบุตรและเสียชีวิตได้

ส่วนผู้ที่ติดไวรัสตับอักเสบบีนั้น หากติดเชื้อในผู้ใหญ่มีโอกาส 90% ที่จะหายขาด และมีเพียง 5-10% ที่จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจต้องทำการรักษา และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง และผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในวัยผู้ใหญ่นั้น มีโอกาสสูงมากถึง 85% ที่จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง แต่ก็มียาต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบซีชนิดรับประทานที่ได้ผลดี และสามารถรักษาจนหายขาดได้


Q: ตับอักเสบทำให้เป็นมะเร็งตับไหม

A: มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในชายไทย โดยมักพบในคนอายุ 30-70 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เมื่อตัวเชื้อไวรัสเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับก็สามารถกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และหากปล่อยไว้นานเซลล์ตับที่ติดเชื้อนั้นจะทำให้เกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด

ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี และซีในระยะเรื้อรังที่มีภาวะตับแข็งจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ผู้ที่มีญาติ หรือคนในครอบครัวเป็นโรคตับหรือมะเร็งตับ ผู้ที่มีภาวะเหล็กเกินในร่างกาย (Hemochromatosis) เด็กทารกแรกเกิดที่การเผาผลาญล้มเหลวเฉียบพลัน (tyrosinemia) รวมทั้งคนที่รับประทานถั่วบดทิ้งค้าง หรือพริกปนเก่า ที่มีเชื้อราชนิดอัลฟาร์ทอกซินปะปน ยังมีโอกาสเป็น มะเร็งตับได้ง่ายขึ้น


Q: ตับอักเสบป้องกันได้อย่างไร

A: เราสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยการหลีกเสี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ การเจาะสักผิวหนัง การใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยป้องกัน

ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินภาวะตับอักเสบว่าควรรับยาต้านเชื้อไวรัสหรือไม่ เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกและทารกก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นเราสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเพียง 3 เข็ม ก็สามารถป้องกันการเกิดไวรัสตับอักเสบบีได้ตลอดชีวิต

โรคตับอักเสบสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ฉะนั้นควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะสุขภาพตับในผู้ที่มีความเสี่ยง ซึ่งหากพบตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถหาแนวทางการรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตับอักเสบรุนแรง ตับอักเสบเรื้อรัง และร้ายแรงจนพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ ตามมาได้


2
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy A25 5G (8GB/256GB)
10,999 บาท

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy A25 5G (8GB/256GB)
ใหม่! Galaxy A25 5G เร็วแรง หน่วยความจำ 8GB จอสีสวย Super AMOLED ทำงานได้ราบรื่นด้วยหน่วยประมวลผล Exynos 1280 อันทรงพลัง หน่วยความจำ 8GB และตัวเลือกพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 256GB ตลอดจนรองรับการ์ด MicroSD เพิ่มเติมอีก 1TB ทั้งหมดนี้พร้อมกันกับความเร็วแบบ 5G

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น            ซัมซุง SAMSUNG Galaxy A25 5G (8GB/256GB)
   ราคากลาง         10,999 บาท
   จำนวนซิม          2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                    Blue
   ความถี่-เครือข่าย
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                     ยาว 161 x กว้าง 76.5 x หนา 8.3 มม., น้ำหนัก 197 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)     256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด      Micro SD
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ         ความจุแบตเตอรี่ 5,000 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ              จอสัมผัส (Super AMOLED)
   ความละเอียด       6.5 นิ้ว, 0 x 0 px
   รายละเอียดอื่น      กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (13 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)           Octa-Core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)               8.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก               USB(Type-C 2.0), Bluetooth(5.3), Jack(3.5 มม.), NFC, Wi-Fi(802.11a/b/g/n/ac 2.4GHz+5GHz, VHT80)
   ระบบรับส่งข้อความ                  -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต          3G, WiFi, 4G, 5G

3
การจัดฟันเด็ก แบบแฟชั่น อันตราย
 
การเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะการเข้ารับการจัดฟันสามารถ แก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันผิดปกติ มีผลให้รูปปากเเละโครงหน้าดูไม่สมส่วน เช่น ฟันซ้อนเก ฟันบิดเบี้ยว ฟันยื่น ทำให้ดูปากอูม การสบฟันลึก ทันตแพทย์รักษาด้วยอุปกรณ์จัดฟันโดยทำการเคลื่อนฟันกลับไปยังตำแหน่งที่ถูกต้อง

เนื่องจากฟันแต่ละคนมีการเรียงตัวที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างฟัน ขนาดฟัน รวมถึงความสัมพันธ์ของขากรรไกรฟัน และปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุและปัญหาสำคัญที่ทำให้ความมั่นใจลดลง รวมถึงบุคลิกภาพที่ไม่ดี การจัดฟันจึงเป็นการรักษาและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากฟันเรียงตัวไม่เหมาะสมเพื่อให้มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ

และต้องบอกว่า การจัดฟันนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนยอดฮิตสำหรับเด็กและวัยรุ่น จึงมีการจัดฟันที่เรียกว่า การจัดฟันแฟชั่นขึ้นมา ซึ่งต้องว่าอันตรายมาก เพราะการจัดฟันนั้นจะต้องทำโดยทันตแพทย์จัดฟันเท่านั้น ซึ่งเด็กมักจะชอบจัดฟันแฟชั่น เนื่องจากมีราคาถูก จึงทำให้หลายคนตัดสินใจผิดพลาดเข้ารับการจัดฟันแฟชั่น
อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็ก ก็ต้องทำโดยทันตแพทย์เท่านั้น ถ้าหากใครอยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ลองปรึกษาพ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อที่จะพาเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเข้ารับการจัดฟัน
 
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การจัดฟันแฟชั่นนั้น มีอันตรายมาก แต่ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแฟชั่นก่อนว่า คืออะไร และมีกระบวนการติดตั้งเครื่องมืออย่างไร สำหรับการจัดฟันแฟชั่น คือ การนำเครื่องมือไปติดในช่องปากเพื่อเลียนแบบการจัดฟัน แต่ไม่ได้ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพและไม่ได้ผ่านขั้นตอนการจัดฟันที่ถูกต้องจากทันตแพทย์

ซึ่งการติดเหล็กจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ถูกสุขอนามัยจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากตามมา เช่น เป็นแผลในช่องปาก ฟันผุ มีกลิ่นปาก หรือติดเชื้อ ได้ ส่วนใหญ่เด็กที่อยากจะมีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก เพื่อแฟชั่นก็มักจะเข้ารับการจัดฟันแฟชั่น หลายคนเลือกใช้วัสดุในการจัดฟันที่ทำขึ้นมาเลียนแบบซึ่งอาจหาซื้อได้จากร้านค้าออนไลน์

ตลาดนัด หรือคลินิกจัดฟันแฟชั่นที่ผิดกฎหมาย โดยร้านจัดฟันแฟชั่นบางแห่งอาจใช้เครื่องมือแบบติดแน่นเป็นโลหะทรงสี่เหลี่ยมที่มีร่องสำหรับใส่ลวดและคล้องยางสีต่าง ๆ คล้ายอุปกรณ์จัดฟันจริง กระทั่งใช้อุปกรณ์แบบถอดได้ที่มีลักษณะคล้ายเครื่องมือคงสภาพฟันหลังการจัดฟัน หรืออาจดัดแปลงวัสดุใช้งานทั่วไปที่ไม่ใช่อุปกรณ์ทางทันตกรรมมาใช้จัดฟัน

ซึ่งการจัดฟันแฟชั่นนั้นส่งผลต่อฟันหรือเหงือกเสียหาย เพราะอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจบาดหรือกดกระพุ้งแก้มและเหงือกจนเกิดเป็นแผลหรือแผลเรื้อรังจนเสี่ยงเป็นมะเร็งช่องปากได้ ส่วนการปรับแต่งลวดภายในช่องปากโดยผู้ที่ไม่มีความรู้ก็อาจเกิดแรงกดที่ตัวฟันมากเกินไปจนทำให้ปวดฟันมาก ฟันเคลื่อนผิดตำแหน่ง
ฟันตายจนเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นรากฟันละลายและต้องถอนฟันซี่นั้นออกไป ถ้าเครื่องมือไม่สะอาดด้วยอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ รวมถึงเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่ติดสะสมอยู่รอบ ๆ วัสดุจัดฟันก็อาจทำให้ฟันผุติดเชื้อ เป็นโรคเหงือกอักเสบหรือมีกลิ่นปากได้
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟัน หรือเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแทพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก รวมไปถึงมีประสบการณ์ยาวนานด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ลดปัญหาการเกิดความผิดปกติของช่องปากและฟัน เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่

4
หมอออนไลน์: มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach cancer/Gastric cancer)

มะเร็งกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 40 ปี พบมากในช่วงอายุ 60-80 ปี คนอายุน้อยกว่า 40 ปีก็พบได้แต่น้อย มะเร็งชนิดนี้พบประมาณร้อยละ 2.2 ของผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ทั้งหมด และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า (สถิติปี 2563)

สาเหตุ

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ ทั้งปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่

    ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุด คือ การติดเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori/Helicobacter pylori) ของกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (chronic gastritis) และแผลกระเพาะอาหาร พบว่ามากกว่าร้อยละ 60 ของผู้ที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะมีประวัติการติดเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อเอชไพโลไรมีเพียงส่วนน้อย (ประมาณร้อยละ 2) ที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื่อว่าการเกิดมะเร็งชนิดนี้มีปัจจัยเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ของเชื้อ ปัจจัยด้านปัจเจกบุคคลและสิ่งแวดล้อม

    ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยอื่น ๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่, การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (วันละมากกว่า 3 ดื่มมาตรฐาน หรือมากกว่าปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 30 กรัม), การกินเนื้อสัตว์หมักเกลือ (เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม) เนื้อสัตว์รมควันหรือใส่ดินประสิว (เช่น ไส้กรอก แหนม กุนเชียง เป็นต้น), การกินเนื้อแดง (เนื้อวัว หมู) โดยการปิ้งย่าง, การกินของหมักดอง, การกินผักและผลไม้น้อย, ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน

    ปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ พบว่าประมาณร้อยละ 10 ของผู้ที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มีประวัติมีพ่อแม่พี่น้องหรือญาติสายตรงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

    ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น การมีติ่งเนื้อเมือก (stomach polyps) ที่กระเพาะอาหาร, การมีประวัติเป็นโรคโลหิตจางชนิดร้ายแรง (pernicious anemia) ซึ่งเกิดจากภาวะขาดวิตามินบี 12, การมีประวัติเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารมาก่อน

อาการ

ระยะแรกเริ่มจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ต่อมาเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นก็จะมีอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อย เรอบ่อย ท้องอืด แน่นท้องตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะ รู้สึกอิ่มเร็วหลังกินอาหารปริมาณเพียงเล็กน้อย

ในช่วงแรกกินยารักษาโรคกระเพาะอาการก็ทุเลาได้ แต่ต่อมาจะไม่ได้ผลและมีอาการอื่นตามมา เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย กลืนลำบาก เบื่ออาหาร ท้องผูกหรือท้องเดิน คลื่นไส้อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ น้ำหนักลด ซีด ดีซ่าน (ตาเหลือง) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออก (อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ โลหิตจาง)

มะเร็งมักลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง แอ่งเหนือไหปลาร้า และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ระยะแรกมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ ระยะต่อมาอาจตรวจพบภาวะซีด ดีซ่าน (ตาเหลือง)

ในรายที่มีก้อนมะเร็งลุกลาม อาจคลำพบก้อนแข็งตรงบริเวณเหนือสะดือหรือใต้ชายโครง หรือตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโตที่เหนือบริเวณไหปลาร้าข้างซ้าย ตับโต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยเอกซเรย์กระเพาะอาหารโดยการกลืนแป้งแบเรียม การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารซีอีเอ (carcinoembryonic antigen/CEA) ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI), การตรวจเพทสแกน (PET scan) เป็นต้น เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด และเคมีบำบัด ในรายที่เป็นมากอาจให้เคมีบำบัดรังสีบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs)

ผลการรักษา ถ้าเป็นมะเร็งระยะแรก ๆ การรักษาได้ผลดี หรือหายขาดได้ (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 80-90)

แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการในระยะท้าย ๆ ซึ่งมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว การรักษามักได้ผลไม่ดี มักมีชีวิตอยู่ได้นานสักระยะหนึ่ง (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 20-40)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดแน่นท้องตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะนานเกิน 2-4 สัปดาห์ หรือกินยารักษาโรคกระเพาะไม่ทุเลา, อาเจียนบ่อย, อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

มีวิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนี้

    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด หากจะดื่มควรดื่มเป็นบางครั้งบางคราว ในปริมาณเล็กน้อย (1 ดื่มมาตรฐานสำหรับผู้หญิง หรือ 2 ดื่มมาตรฐานสำหรับผู้ชาย ต่อวัน)
    หลีกเลี่ยงการกินปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักดอง เนื้อสัตว์รมควันหรือใส่ดินประสิว เนื้อแดงที่ปิ้งย่าง
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อเอชไพโลไรของกระเพาะอาหารควรรักษาให้หายขาด

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารตรวจกรองมะเร็งตั้งแต่ก่อนจะมีอาการ หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก การรักษาจะได้ผลดี มีอายุยืนยาว

2. ผู้ที่มีอาการปวดจุกแน่นท้อง หรือมีอาการของโรคกระเพาะเรื้อรังหรือกำเริบบ่อย หรือกินยารักษาโรคกระเพาะแล้วไม่ทุเลา หรือทุเลาในระยะแรกแล้วต่อมายาที่กินกลับไม่ได้ผล หรือมีอาการครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

5
โรคความดันโลหิตสูงหากไม่รักษา อาจทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้ (Hypertension)

ความดันโลหิตสูง ภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ เป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ

ความดันโลหิตคืออะไร?

     ความดันโลหิต เป็นแรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งวัดได้ 2 ค่า ได้แก่

     - ความดันโลหิตค่าบน คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัวเต็มที่

     - ความดันโลหิตค่าล่าง คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัวเต็มที่

ความดันโลหิตสูงคืออะไร?

     ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ คือมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งอาจไม่แสดงอาการแต่จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ไตวาย เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม อาจทำให้ผู้ป่วยทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้

ตารางแสดงค่าความดันโลหิต

ประเภท                    ความดันโลหิตตัวบน (มม.ปรอท)          ความดันโลหิตตัวล่าง (มม.ปรอท)

ความดันโลหิตที่ดี               ต่ำกว่า 120                    และ            ต่ำกว่า 80

ความดันโลหิตปกติ              120 – 129                 และ/หรือ        80 – 84

ความดันโลหิตค่อนข้างสูง      130 – 139                  และ/หรือ        85 – 89

ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย (ระยะที่ 1)140 – 159          และ/หรือ         90 – 99

ความดันโลหิตสูงปานกลาง (ระยะที่ 2)160 – 179         และ/หรือ        100 – 109

ความดันโลหิตสูงมาก (ระยะที่ 3)      ตั้งแต่ 180 ขึ้นไป   และ/หรือตั้งแต่   110 ขึ้นไป

จุดมุ่งหมายในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง

     เพื่อลดอัตราการเกิดทุพพลภาพและเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยค่าความดันโลหิตเป้าหมายในการรักษา คือ

    ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั่วไป ควรมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท

     ตัวบน 120 – 130 มิลลิเมตรปรอท

     ตัวล่าง 70 – 79 มิลลิเมตรปรอท

    ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีเบาหวานหรือไตเสื่อมร่วมด้วย ควรมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท

วิธีการวัดความดันโลหิตที่บ้าน

     1. ไม่ดื่มชา กาแฟ สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายก่อนทำการวัด 30 นาที

     2. ก่อนทำการวัดควรถ่ายปัสสาวะให้เรียบร้อย

     3. นั่งเก้าอี้โดยให้หลังพิงพนักเพื่อไม่ให้หลังเกร็งเท้าทั้ง 2 ข้างวางราบกับพื้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายเป็นเวลา 5 นาที ก่อนวัดความดันโลหิต

     4. วัดความดันโลหิตในแขนข้างที่ไม่ถนัด หรือข้างที่มีความดันโลหิตสูงกว่า โดยวางแขนให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ

     5. ขณะวัดความดันโลหิตไม่กำมือ ไม่พูดคุย หรือขยับตัว

     ในการวัดค่าความดันโลหิตแต่ละครั้งควรใช้วิธีการวัดให้ถูกต้อง พร้อมจดบันทึกตัวเลขค่าความดันโลหิตตัวบนและตัวล่างรวมทั้งอัตราการเต้นของหัวใจในสมุดประจำตัวผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยวัดค่าความดันโลหิตอย่างน้อยวันละ 2 ช่วงเวลา ได้แก่

    ช่วงเช้า วัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 - 2 นาที ภายใน 2 ชั่วโมงหลังตื่นนอน และก่อนรับประทานยาลดความดันโลหิต
    ช่วงก่อนเย็น วัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 - 2 นาที

อาการของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

     ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ แต่บางรายพบว่ามีอาการปวดหัว เวียนหัว มึนงง และเหนื่อยง่ายผิดปกติ ซึ่งหากมีภาวะความดันโลหิตสูงนานๆ แต่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆ ในร่างกายถูกทำลาย ได้แก่ หัวใจ สมอง  ไต หลอดเลือด และตา เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงจะทำให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้นและรูเล็กลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง ส่งผลให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานไม่เป็นปกติ และหากถูกทำลายอย่างรุนแรงอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

     1. ลดน้ำหนัก ในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน

     2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม

     3. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรจำกัดปริมาณให้น้อยกว่าวันละ 1 แก้ว

     4. งดสูบบุหรี่

     5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การเกิดภาวะแทรกซ้อนแบ่งได้ 2 กรณี คือ

     1. ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงโดยตรง เช่น หัวใจวาย

     2. ภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดตีบหรือตัน

    หากเกิดบริเวณหลอดเลือดหัวใจ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเรื้อรังหรือเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
    หากเกิดที่บริเวณหลอดเลือดในสมอง จะทำให้หลอดเลือดในสมองตีบหรืออุดตัน และอาจทำให้เป็นอัมพาต
    หากเกิดบริเวณไต อาจทำให้ไตวายได้


6
สุขภาพดี: เทคโนโลยี VR ในการรักษาทางการแพทย์ มิติใหม่ของการบรรเทาความเจ็บปวด

ความเป็นจริงเสมือนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบรรเทาความเจ็บปวดของผู้ป่วย การนำเทคโนโลยี VR มาใช้ในการรักษานั้นถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการแพทย์ เพราะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวดไปสู่สภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่น่าสนใจแทน

เทคโนโลยีเสมือนจริงเป็นเทคโนโลยีที่สร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่เสมือนจริง ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสัมผัสกับโลกเสมือนจริงที่แตกต่างและผ่อนคลาย สำหรับผู้ที่กำลังเข้ารับการรักษาที่เจ็บปวดหรือต้องรับมือกับอาการปวดเรื้อรัง เทคโนโลยีนี้ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกม เทคโนโลยีเสมือนจริงทำงานโดยเบี่ยงเบนความสนใจของสมองและเปลี่ยนการรับรู้ความเจ็บปวด เมื่อผู้ป่วยจมอยู่ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ความสนใจของผู้ป่วยจะเปลี่ยนจากความเจ็บปวดที่ตนกำลังรู้สึกไปที่ประสบการณ์ในโลกเสมือนจริง ส่งผลให้การรับรู้ความเจ็บปวดลดลง เนื่องจากสมองมีความสามารถในการประมวลผลความเจ็บปวดและสิ่งเร้าที่กระตุ้นด้วย VR พร้อมกันน้อยลง

การประยุกต์ใช้ในการรักษาทางการแพทย์
การบรรเทาอาการปวดหลังการผ่าตัด : หลังการผ่าตัด อาการปวดมักได้รับการรักษาด้วยยา อย่างไรก็ตาม VR ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริม โดยช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาโอปิออยด์และยาอื่นๆ การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ใช้ VR หลังการผ่าตัดมีอาการปวดน้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ใช้ยาแก้ปวดแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว

การรักษาบาดแผลไฟไหม้ : การรักษาบาดแผลไฟไหม้เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างขั้นตอนการรักษาบาดแผล VR ได้รับการนำมาใช้อย่างประสบความสำเร็จในการให้ผู้ป่วยได้ดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายและโต้ตอบได้ในขณะที่รักษาบาดแผลไฟไหม้ ช่วยลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้อย่างมาก

การจัดการความเจ็บปวดเรื้อรัง : สำหรับผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากอาการปวดเรื้อรัง เช่น โรคไฟโบรไมอัลเจีย หรือโรคข้ออักเสบ VR ถือเป็นแนวทางใหม่ในการบรรเทาความเจ็บปวดในระยะยาว ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงสุขภาพจิตโดยรวมได้ด้วยการชมทิวทัศน์ VR ที่ผ่อนคลายหรือโปรแกรมการทำสมาธิแบบมีไกด์

การรักษามะเร็ง : เคมีบำบัดและการรักษามะเร็งอื่นๆ อาจทำให้เกิดความไม่สบายทางกายและความทุกข์ทางใจ VR กำลังถูกผสานเข้ากับการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยให้ผู้ป่วยหลีกหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้ายของการรักษาได้ ประสบการณ์ที่ผ่อนคลายและดื่มด่ำนี้ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวดและความวิตกกังวลระหว่างการรักษาที่ยาวนาน

ประโยชน์ของการจัดการความเจ็บปวดด้วย VR
ไม่รุกราน : ไม่เหมือนเทคนิคการจัดการความเจ็บปวดอื่น ๆ การบำบัดด้วย VR ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือขั้นตอนการรุกราน ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับคนไข้จำนวนมาก
ลดการพึ่งพายา : โดยการใช้ VR เพื่อบรรเทาอาการปวด ผู้ป่วยสามารถลดการพึ่งพายาแก้ปวด โดยเฉพาะยาโอปิออยด์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงและความเสี่ยงต่อการติดยา
ประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้ : VR ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการแพทย์ปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นฉากชายหาดอันเงียบสงบ การทำสมาธิแบบมีไกด์ หรือเกมแบบโต้ตอบ สภาพแวดล้อมสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและเบี่ยงเบนความสนใจสูงสุด
แนวทางแบบองค์รวม : VR ไม่เพียงช่วยลดความเจ็บปวดทางกาย แต่ยังช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ทางอารมณ์โดยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทางการแพทย์อีกด้วย
อนาคตของ VR ในการดูแลสุขภาพ
ในขณะที่เทคโนโลยี VR ยังคงก้าวหน้าต่อไป การประยุกต์ใช้งานในด้านการดูแลสุขภาพก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นักวิจัยกำลังสำรวจการใช้ VR สำหรับการฟื้นฟูร่างกาย การบำบัดสุขภาพจิต และแม้แต่การฝึกผ่าตัด ด้วยการศึกษาวิจัยและการทดลองทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง VR อาจกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเจ็บปวดในสาขาการแพทย์ต่างๆ ในไม่ช้านี้

เทคโนโลยี VR กำลังเปิดประตูสู่โลกการดูแลสุขภาพแห่งใหม่ด้วยการนำเสนอวิธีการใหม่ในการบรรเทาความเจ็บปวด ความสามารถในการทำให้ผู้ป่วยดื่มด่ำไปกับโลกเสมือนจริงไม่เพียงแต่ช่วยลดการรับรู้ความเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพแทนวิธีการจัดการความเจ็บปวดแบบเดิมอีกด้วย เมื่อเทคโนโลยีนี้ได้รับการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพต่างก็ตั้งตารออนาคตที่สามารถจัดการความเจ็บปวดได้ด้วยการใช้ยาที่น้อยลงและสภาพแวดล้อมการรักษาเสมือนจริงที่สมจริงมากขึ้น

7
Mitsubishi Triton 2024: Mitsubishi Triton PHEV 2023 มีความเป็นไปได้ที่จะมุ่งสู่ EV เต็มรูปแบบ

Mitsubishi Triton เจนเนอเรชั่นใหม่ อาจได้รับการปรับปรุงระบบส่งกำลังซึ่งพบใน Outlander ปลั๊กอินไฮบริด และอาจมีรุ่นที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดตามมา มิตซูบิชิได้ยืนยันและเปิดเผยว่า ไม่เพียงแต่กำลังตรวจสอบรุ่น Plug-in Hybrid ของ Triton เจเนอเรชั่นใหม่เท่านั้น แต่ยังมีการสำรวจถึงการเป็นรุ่นไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบอีกด้วย

คุณเคนทาโร่ ฮอนดะ หัวหน้าวิศวกรของมิตซูบิชิ สำหรับรถ SUV รุ่นใหม่ ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในงานเปิดตัว Outlander PHEV ของออสเตรเลีย โดยกล่าวว่าแบรนด์ต้องการนำเสนอผลสำเร็จที่ Ford ได้บรรลุด้วยรถไฟฟ้ารุ่น F-150 Lightning โดยเขากำลังสำรวจวิธีการใช้ระบบ PHEV (ในรุ่น Outlander) ในรถกระบะประเภทต่างๆ รวมทั้งรถกระบะไฟฟ้า โดยมีรถ Ford Lightning เป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการพัฒนารถกระบะไฟฟ้าของ Mitsubishi อีกด้วย

คุณฮอนดะไม่ได้เผยว่ารถไฟฟ้าในรุ่น Triton จะวางจำหน่ายเมื่อไหร่ แต่กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่าบทบาทของ Mitsubishi ในพันธมิตรร่วม Renault/Nissan/Mitsubishi จะเป็นสิ่งที่สำคัญ

“พันธมิตรมีรถยนต์ไฟฟ้าประเภทโดยสาร ดังนั้นผมคิดว่า Mitsubishi ควรมีรถกระบะประเภท EV หรือไฮบริดด้วยเช่นกัน”

ประธาน Mitsubishi ของออสเตรเลีย คุณชอน แวสต์คอตต์ ยังเสนอการสนับสนุนรถ Triton รุ่นใหม่ในรูปแบบไฮบริด โดยกล่าวว่า เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์มากกว่าแค่การประหยัดเชื้อเพลิง

8
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ต้องขูดหินปูนก่อนเข้ารับการรักษาหรือไม่
 
สุขภาพช่องปากและฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีความพร้อมในการที่จะเข้ารับการรักษาเพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ หลายคนที่เคยมีปัญหาเรื่องของฟันผุ แน่นอนว่า การเกิดจากการที่เราไม่ดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเราไม่ดีเท่าที่ควร จนทำให้เกิดคราบสะสม จนเกิดหินปูน


ซึ่งคราบหินปูนนั้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุและนำไปสู่การสูญเสียฟัน ซึ่งหินปูน เกิดจากการพัฒนามาจากคราบแบคทีเรีย คราบพลาค มีลักษณะคล้ายฟิล์มใสๆ บางๆ เกาะตัวอยู่บริเวณโคนฟันใกล้ขอบเหงือก อาจมีสีออกเหลือง หรือเทาได้เล็กน้อย โดยคราบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้หลังการแปรงฟันเพียง 2-3 นาที เป็นเมือกใสๆ ของน้ำลายมาเกาะที่ตัวฟัน หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ แคลเซียมในอาหารก็จะเข้ามาเกาะรวมอยู่ด้วย จนทำให้เกิดเป็นคราบแข็งที่ติดแน่นมาก จนกลายเป็นหินปูนที่เราไม่สามารถแปรงฟันออกได้ด้วยตนเองในที่สุด ต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้ขูดหินปูนออกให้เท่านั้น สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับหินปูนและมีปัญหาฟันร่วมด้วยและอยากที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส คงมีคำถามว่า จะต้องขูดหินปูนก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสหรือไม่
 
ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการขูดหินปูนและการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงเรื่องของขั้นตอนการจัดฟันแบบใสก่อนว่า มีขั้นตอนอย่างไร ซึ่งจะเป็นการตอบคำถามได้ดีว่า ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องขูดหินปูนก่อนเข้ารับการรักษาหรือไม่ ขั้นตอนแรกก่อนที่เราจะเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟันแบบใส เราจะต้องทำการปรึกษาปัญหาที่ต้องการจัดฟัน


โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะสามารถเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสได้หรือไม่ รวมไปถึงขั้นตอนการตรวจประเมินช่องปากก่อนเข้ารับการรักษาด้วย แต่ประเด็นที่บอกว่า จะต้องเข้ารับการขูดหินปูนก่อนการรักษานั้น แน่นอนว่าถ้าหากทันตแพทย์ตรวจพบคราบหินปูนขณะประเมินช่องปาก ผู้เข้ารับการจัดฟันก็ต้องเข้ารับการขูดหินปูน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง แต่หากเข้ารับการจัดฟันไปแล้ว แล้วมีคราบหินปูน ทันตแพทย์ก็สามารถขูดหินปูนให้ได้ โดยไม่มีปัญหาในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน


เพราะเนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันแบบใสที่สามารถถอดออกได้ง่าย สะดวก จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันอยู่แล้ว จึงทำให้มั่นใจได้เลยว่า ในเรื่องของการขูดหินปูนในระหว่างการจัดฟันแบบใส จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในเรื่องของการทำความสะอาดของฟันสำหรับทันตแพทย์นั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันประจำปีอยู่แล้ว ควรเข้าพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีในระยะยาว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันของเราได้ ให้สามารถพร้อมเข้ารับการจัดฟันได้ทันที ดังนั้น การขูดหินปูน จึงอยู่ในขั้นตอนการวางแผนการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสอยู่แล้ว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุได้อย่างดีเลยทีเดียว ทั้งนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันได้อีกด้วย


อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันด้วยการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์มาอย่างยาวนาน เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้รับการบริการที่มีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ทางคลินิกเรายังได้รับรองสูงสุดจาก invisalign ให้สามารถให้บริการการจัดฟันแบบใสได้อย่างตามมาตรฐานสากล จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะมีฟันที่สวยงาม ช่วยส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

9
รถไฟฟ้า ev โอร่า ORA 07 Long Range Ultra ปี 2024
1,219,000 บาท 

โอร่า ORA 07 Long Range Ultra ปี 2024
ORA 07 Long Range Ultra รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง เป็นรถยนต์รุ่น Flagship ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ออกแบบและถือกำเนิดขึ้นเพื่อสร้างกระแสความนิยมในหมู่ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบความโดดเด่น มีสไตล์ ไม่เหมือนใคร รวมถึงสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยมากมาย และยังเป็นรุ่นที่เข้ามาเสริมทัพ พร้อมส่งมอบได้ทันทีภายในเดือนกรกฎาคม 2567 นี้

หมายเหตุ จากราคา 1,399,000 บาท เหลือเพียง 1,219,000 บาท

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             ORA
   รุ่น                  โอร่า ORA 07 Long Range Ultra ปี 2024
   ประเภทรถ         รถเก๋ง 4 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว         2024
   ราคา               1,219,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
หลังคาแก้ว (แบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ (Panoramic Glass Roof))
สปอยเลอร์หลัง (ไฟฟ้า)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟตัดหมอก (LED)
ระบบควบคุมระยะการจอด (เซนเซอร์กะระยะ 6 จุดด้านหน้า และ 6 จุดด้านหลัง)
ไฟท้าย LED
ไฟหน้า LED (Intelligent LED)
ขนาดยางหน้า-หลัง (235/50 R18)
ไฟ Daytime Running Lights
ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
ล้ออัลลอย (18 นิ้ว ล้อสปอร์ต ลาย double spoke)

   ภายใน
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์ (1 ตำแหน่ง)
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (เข้า-ออก ได้)
ภายในโทนสีเบจ (คอนโซลหน้าหนังกลับ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (• ไฟตกแต่งห้องโดยสาร พร้อมฟังก์ชันแบบหลายสีและเป็นจังหวะ)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (6 รูปแบบ ได้แก่ โหมดประหยัด โหมด WELL BEING โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดสปอร์ตพลัส และโหมดส่วนบุคคล)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                 มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    แรงม้า
   ระบบเกียร์                     1 จังหวะ
   รูปแบบเกียร์                   แบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้าด้านหลังพวงมาลัย
   ระบบเบรค ABS               มี
   ชนิดแบตเตอรี่                ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่              83.499 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง     วิ่งได้ระยะสูงสุด 640 กิโลเมตร (NEDC Standard)
   น้ำหนักตัวรถ                       2,155 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                   -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                    ล้ออัลลอย (18 นิ้ว ล้อสปอร์ต ลาย double spoke)
   ระบบขับเคลื่อน                   ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัย

  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP)
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
สัญญาณกันขโมย
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง (เมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง CTA)
รีโมทคอนโทรล (Smart Keyless Entry)
ระบบป้องกันการโจรกรรม
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบ Intelligent Quick Start System,Intelligent Safety,ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW),ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI),ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS),ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ)
เข็มขัดนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน
อื่นๆ (ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินบนทางตรงและทางแยก, ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า, รบบช่วยเบกฉุกฌฉินที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง,ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน, ระบบช่วยถอยหล)
ระบบ intelligence around view monitor กล้องมองภาพรอบทิศทาง
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล
ระบบสั่งการด้วยเสียง
ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ
กล้อง (ติดรถยนต์ ADAS)
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (&RCTB)
เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor - IAVM)
เซ็นเซอร์ตรวจจับการชน (ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM))

10
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำกว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก./ดล.)

ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้

สาเหตุ

อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

1. พบหลังดื่มแอลกอฮอล์จัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป

2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหารผิดเวลา หรือออกแรงกายมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ หรือใช้ยาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวานในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้า มักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ

3. พบในทารกแรกคลอดที่มารดาเป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย (ดู ภาวะชักในทารกแรกเกิด)

4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางรายก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจากร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น

5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า “Dumping syndrome”

6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อนชนิดอินซูลิโนมา (insulinoma) มะเร็งต่าง ๆ โรคแอดดิสัน เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะโวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคนเมาเหล้า)

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชัก หมดสติ

ในรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต

บางรายอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักจะมีลักษณะเบาเร็ว บางรายอาจพบความดันเลือดต่ำ

รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะพบว่าต่ำกว่าปกติ (มักจะพบต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในรายที่เป็นมากอาจต่ำกว่า 20 มก./ดล.)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าหมดสติ แพทย์จะให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยฟื้นแล้ว แต่ยังกินไม่ค่อยได้ ก็จะให้เดกซ์โทรส 5% (5% D/W) เข้าทางหลอดเลือดดำจำนวน 500-1,000 มล.

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและกินได้ แพทย์จะให้กินน้ำหวาน หรือกลูโคส

3. แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว หรือสงสัยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น พบในผู้ที่กำลังรักษาโรคเบาหวาน อดข้าว หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอม หากทุเลาทันที ก็แสดงว่าเป็นภาวะนี้ ต่อไปควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบอีก

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ซึมมาก หรือหมดสติ
    กินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมแล้วไม่ทุเลา
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย (การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผิดเวลา อย่าใช้แรงกายหักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ ข้อสำคัญอย่าใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง และพกน้ำตาล ของหวานหรือลูกอมติดตัวไว้แก้ไขเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    กินอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดข้าว ถ้ารู้สึกหิว ควรรีบกินอาหาร ของหวาน หรือดื่มนม หรือน้ำหวาน

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัวไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการ

แต่ถ้าหมดสติ ห้ามกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปยังสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีดกลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้

3. ในรายที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด 

4. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน) บางรายอาจเกิดอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมงได้บ่อย (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลักษณะนี้ เรียกว่า “Reactive hypoglycemia”) และอาจกลายเป็นเบาหวานในระยะอีกหลายปีต่อมา ดังนั้นผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ และตรวจพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวานก็ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเบาหวาน

11
มอเตอร์ไซด์ใหม่ Yamaha Grand Filano Special Edition เปิดราคาแนะนำที่ 77,900 บาท พร้อมรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ฉลองครบรอบ 60 ปี พร้อมตอกย้ำบทบาทความเป็น ผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติก ของเมืองไทยอีกครั้ง ด้วยการส่งรถจักรยานยนต์ออโตเมติกแฟชั่นพรีเมียมโดดเด่นเหนือใครกับ New Yamaha Grand Filano Special Edition ความพิเศษที่แกรนด์ขึ้นอีกระดับกับโช้คอัพระดับโลก และสีที่ถูกดีไซน์ใหม่กับความ Classy Premium Design

สำหรับ New Yamaha Grand Filano Special Edition ความพิเศษที่แกรนด์ขึ้นอีกระดับ สุดพรีเมียมด้วยสีพิเศษ Magma Black พร้อมล้อแม็กสีทอง โดดเด่นกับโช้คหลัง OHLINS แบรนด์ระดับโลก ที่ปรับแต่งให้เหมาะกับ GRAND FILANO

New Yamaha Grand Filano Special Edition โดดเด่นด้วย SPECIAL EDITION SEAT เบาะนั่งพิเศษ ดีไซน์ที่แตกต่าง โดดเด่นด้วยสีสันแบบทูโทน ใหญ่ นุ่มนั่งสบายทั้งคนขี่ และคนซ้อน


New Yamaha Grand Filano Special Edition ยังมาพร้อมกับ SPECIAL EDITION EMBLEM เอกลักษณ์บ่งบอกถึงความพิเศษกว่า ด้วยโลโก้ Grand Filano Special Edition สีทอง ให้ความรู้สึกที่มีระดับยิ่งขึ้น

New Yamaha Grand Filano Special Edition ไฮคลาสกับ OHLINS for Grand Filano Special Edition* โช้คอัพพิเศษสำหรับ GRAND FILANO โดยเฉพาะ โดดเด่นด้วยซับแทงค์สีทอง คุณภาพสูง ปรับตั้งค่า Full adjust ได้ 3 แบบ (Rebound, Preload, Compression) เพื่อการขับขี่ที่นุ่มสบายมากยิ่งขึ้น

*เงื่อนไขการติดตั้งและรับประกันโช้ค OHLINS:     
ลูกค้าจะได้รับโช้คอัพ 2 ชุด คือ โช้คอัพ OHLINS 1 ชุด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตกแต่งติดตั้งไปกับรถจักรยานยนต์ และลูกค้าจะได้รับโช้คอัพ Standard 1 ชุด แยกบรรจุในกล่อง เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สำรองทดแทนในกรณีต่างๆ เช่น ส่งโช้คอัพ OHLINS เข้ารับการบำรุงรักษาหรือเคลมประกันกับทาง OHLINS เป็นต้น
โช้คอัพ OHLINS ได้รับการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร* ในกรณีที่เป็นปัญหาคุณภาพจากชิ้นส่วน หรือกระบวนการผลิต โดย บริษัท เออห์ลินส์ เอเซีย จำกัด ตามเงื่อนไขการรับประกันที่กำหนด สามารถศึกษาข้อมูลได้จากคู่มือ โดยมีสาระสำคัญที่ต้องการเน้นย้ำดังนี้
ลูกค้าต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์การรับประกัน โดยใช้หมายเลขใบรับประกัน (Warranty card number) คู่กับหมายเลขตัวถัง (VIN number) ของรถคันที่ซื้อเท่านั้น
ลูกค้าต้องนำโช้คอัพเข้ารับการตรวจสอบและทำการบำรุงรักษา ทุก 30,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน โดยเข้ารับบริการตรงกับทาง OHLINS เพื่อรักษาสิทธิ์การรับประกัน

ลูกค้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนการรับประกันหรือการบำรุงรักษาโช้คอัพ OHLINS

นอกจากนี้ New Yamaha Grand Filano Special Edition ยังให้เติมเต็มทุกฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างครบครัน CLASSY with PREMIUM FEATURES ด้วยระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ SMART KEY SYSTEM บ่งบอกถึง ความมีระดับ สะดวกกว่าด้วยสวิตช์ปิด-เปิด แบบ Multi Functions ทั้งปลดล็อกสตาร์ท / ดับเครื่องยนต์ / ปลดล็อกแฮนด์ / ปลดล็อกเบาะ / ปลดล็อกฝาถังน้ำมัน, ฟังก์ชั่นใหม่ ช่องชาร์จแบตเตอรี่มือถือ USB Type A ชาร์จแบตเตอรี่มือถือได้ พร้อมช่องใส่ของด้านหน้าขนาดใหญ่, ที่เก็บของใต้เบาะพร้อมไฟ LED ส่องสว่าง ขนาดใหญ่ถึง 27 ลิตร เก็บหมวกกันน็อกได้ 2 ใบ และช่องเติมน้ำมันด้านหน้า SMART & EASY REFUEL เติมน้ำมันง่าย สะดวกสบาย ไม่ต้องลงจากรถ พร้อมปุ่มกดเปิดฝาอัตโนมัติ ใช้ง่ายเพียงปุ่มเดียว ไม่ยุ่งยาก

New Yamaha Grand Filano Special Edition ตอบโจทย์สมรรถนะด้วย ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ BLUE CORE HYBRID 125 ซีซี ที่ได้ออกแบบให้การทำงานเผาไหม้ได้สมบูรณ์แบบ สมรรถนะดีเยี่ยม ใช้เสื้อสูบแบบ DiASiL ระบายความร้อนได้ดีกว่า ทนทาน ผสานการทำงานกับระบบไฮบริด ใช้น้ำมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมันมากถึง 62.5 กม.ต่อลิตร นุ่มนวล ไม่สั่น เสียงเงียบ สตาร์ทและออกตัวรวดเร็วด้วย SMART MOTOR GENERATOR และยังมาพร้อมกับ STOP & START SYSTEM ระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถเปิด-ปิดได้ตามความต้องการ โดยให้ความสะดวกด้วย ONE PUSH START ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ สตาร์ทง่าย รวดเร็วกว่า ไร้เสียงมอเตอร์ และเพิ่มความเหนือระดับไปอีกขั้นด้วยระบบเบรก ABS (เฉพาะรุ่น ABS) ควบคุมแรงดันเบรกหน้าอัตโนมัติ ช่วยลดโอกาสในการเกิดล้อล็อก *รายงานการทดสอบในห้องปฏิบัติการตามกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เฉพาะด้านความปลอดภัยสารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับ 7 (มอก.2915-2561) วันที่ทดสอบ 21-22 เมษายน 2566
 
New Yamaha Grand Filano Special Edition ยังคงล้ำสมัยด้วย Y-Connect Application แอปพลิเคชันสำหรับดูข้อมูลเกี่ยวกับรถ 9 ฟังก์ชัน เพื่อความสะดวกสบาย ในการใช้งานสำหรับคนรุ่นใหม่

METER INDICATOR – แจ้งเตือนการติดต่อเข้ามือถือบนจอหน้าปัดรถ
MAINTENANCE RECOMMEND – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
MALFUNCTION NOTIFICATION – แจ้งเตือนเครื่องยนต์เกิดปัญหา
FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลการอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
REVS DASHBOARD - แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่
LAST PARKING LOCATION - แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด
RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่
RIDING LOG – บันทึกประวัติการขับขี่
CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า   
*ทำงานเมื่อเชื่อมต่อ Y–Connect เปิด Bluetooth และ Location เท่านั้น

พบกับ New Yamaha Grand Filano Special Edition ได้แล้ววันนี้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ พร้อมวางจำหน่ายในราคาแนะนำที่ 77,900 บาท พร้อมความมั่นใจในคุณภาพสินค้า ด้วยการรับประกันคุณภาพทั้งคันตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

12
จัดฟันเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติของฟันก่อนที่จะสายไป
 
การดูแลสุขภาพช่องปากส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดี การให้ความรู้และการป้องกันในระหว่างปีแรกของชีวิตต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้เชี่ยวชาญและการร่วมมือของพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่จะดูแลฟันของลูกน้อยตั้งแต่ยังเป็นทารก เพราะในเรื่องของการเลี้ยงดูก็มีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากและฟันเช่นกัน ดังนั้น การเริ่มต้นที่จะมีสุขลักษณะที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีนั้นมีความเกี่ยวข้องกับด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของเด็กเอง จึงไม่ใช่สิ่งง่ายเลยในการเปลี่ยนแปลง บทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะช่วยส่งเสริมและปลูกฝังทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำ ไม่ควรมองข้าม

เพราะสุขอนามัยเกี่ยวกับช่องปากและฟันของเด็กนั้น จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต และถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็ก โดยการจัดฟันในเด็กนั้นจะสามารถช่วยแก้ไขความผิดปกติของฟัน และสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบ หากเด็กมีปัญหาฟันที่จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการจัดฟัน  เพราะการจัดฟันในเด็ก ทำเพื่อแก้ไขความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ

ในระหว่างที่ขากรรไกรของเด็กอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตจะช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ทันท่วงที ก่อนที่เขาจะโตขึ้น  เช่น กรณีขากรรไกรบนเล็กหรือแคบ การจัดฟันในเด็กจะช่วยลดปัญหาได้อย่างมาก เพราะยังเป็นช่วงที่เพดานปากหรือกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตอยู่ และสามารถขยายได้  ซึ่งหากไปทำในวัยผู้ใหญ่ขากรรไกรจะหยุดเจริญเติบโตแล้วจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหา ขากรรไกรเบี้ยว คางยื่น หรืออื่นๆ ได้ ซึ่งอาจต้องใช้วิธีที่ยุ่งยากมากขึ้น เช่น การผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน
 
วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ที่จะช่วยแก้ไขความผิดปกติของฟันก่อนที่จะสายไป  การที่พ่อแม่พาเด็กเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างทันเวลา หากทันตแพทย์ ตรวจพบความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันแต่เนิ่นๆ และจะได้วางแผนเวลา และวิธีการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับการทำฟัน หากจำเป็นต้องใส่เครื่องมือจัดฟันเมื่อไหร่ เด็กก็จะพร้อมที่จะรับการรักษาได้ทันที จะเป็นการสร้างทัศนคติที่ดีให้เด็กไปในตัว

การจัดฟันในเด็กยังมีประโยชน์กับเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ดูดขวดนม ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหากล้ามเนื้อบนใบหน้า การจัดฟันในเด็กจึงสามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ

ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต ซึ่งนอกจากนี้ ความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในเด็กเล็ก เช่น ขากรรไกรบน-ล่างไม่สมดุลกัน ฟันหน้าล่างคร่อมฟันหน้าบน อาจเริ่มรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความผิดปกติที่จะมีมากขึ้น ในขณะที่ยังมีการเจริญเติบโตของในหน้าและขากรรไกร

การจัดฟันในเด็กเล็กจะเป็นการใส่เครื่องมือเพื่อกระตุ้นให้การเจริญเติบโตของขากรรไกรบนและล่างได้สัดส่วน จึงทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่เข้าที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะมองข้ามหรือละเลยปัญหาเล็กๆเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพราะอย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า ถ้าหากปล่อยไว้ อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาฟันไปตลอดชีวิตได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านมาเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้นได้ที่คลินิก เพระทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะทางเราให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง สามารถแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีและสะอาดมากที่สุด เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกค้าทุกคน เพื่อที่จะได้มีช่องปากและฟันที่สะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

13
สินค้า บริการอื่น ๆ / Doctor At Home: อีดำอีแดง (Scarlet fever)
« เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2024, 13:42:47 pm »
Doctor At Home: อีดำอีแดง (Scarlet fever)

อีดำอีแดง (ไข้อีดำอีแดง ก็เรียก) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้มีผื่นแดงขึ้นตามตัวร่วมกับทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในเด็กอายุ 5 -15 ปี ในปัจจุบันพบโรคนี้น้อยลง เนื่องจากผู้ป่วยมักได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (group A beta-hemolytic Streptococcus) สายพันธุ์ที่สร้างสารพิษ (erythrogenic exotoxin) ออกมาทำให้เกิดผื่นแดงตามผิวหนัง เชื้อมีอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสมือผู้ป่วย สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ

ระยะฟักตัว 2-7 วัน

โรคนี้มักเกิดร่วมกับทอนซิลอักเสบ แต่บางครั้งอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อที่ตำแหน่งอื่น เช่น ผิวหนัง แผลผ่าตัด มดลูก เป็นต้น

อาการ

แรกเริ่มจะมีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บคอมาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนร่วมด้วย

1-2 วันหลังมีไข้จะมีผื่นแดงขึ้นที่คอ หน้าอก และรักแร้ แล้วกระจายไปตามลำตัวและแขนขาภายใน 24 ชั่วโมง ผื่นมีลักษณะคล้ายกระดาษทราย อาจมีอาการคัน ต่อมาผื่นจะปรากฏเด่นชัด (เข้มข้น) ในบริเวณร่องหรือรอยพับของผิวหนัง (โดยเฉพาะที่คอ รักแร้ ข้อพับแขน ขาหนีบ ข้อพับขา) แล้วต่อมาในบริเวณเหล่านี้จะปรากฏเป็นจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งเรียงเป็นเส้น (เนื่องจากการแตกของหลอดเลือดฝอย) เรียกว่า “เส้นพาสเตีย (Pastia’s lines)”

ผื่นจะเริ่มจางหายหลังขึ้นได้ 3-4 วัน หลังจากผื่นจางได้ประมาณ 1 สัปดาห์จะมีอาการลอกของผิวหนัง มักเห็นเด่นชัดที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าซึ่งอาจเห็นลอกเป็นแผ่น ส่วนตามลำตัวมักลอกเป็นขุย อาการผิวหนังลอกเป็นลักษณะจำเพาะของโรคนี้ บางรายอาจลอกติดต่อกันนานถึง 6 สัปดาห์


ภาวะแทรกซ้อน

เช่นเดียวกับทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีทอนซิล ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้รูมาติก หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้มากกว่า 38.3 องศาเซลเซียส ทอนซิลบวมแดง และมักมีแผ่นหรือจุดหนองขาว ๆ เหลือง ๆ ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอด้านหน้าหรือใต้ขากรรไกรบวมโตและเจ็บ

หน้าแดง แต่บริเวณรอบปากซีด

ในช่วง 2 วันแรกของไข้ อาจพบลิ้นมีฝ้าขาวปกคลุมและมีตุ่มแดงยื่นขึ้นเป็นตุ่ม ๆ สลับคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี เรียกว่า ลิ้นสตรอว์เบอร์รีขาว (white strawberry tongue)

ในช่วงหลังวันที่ 4 ของไข้ ฝ้าขาวที่ลิ้นจะลอกเป็นสีแดง ทำให้เห็นเป็นลิ้นสตรอว์เบอร์รีแดง (red strawberry tongue)

ตามผิวหนังจะพบผื่นแดงคล้ายกระดาษทราย และพบเส้นแดงคล้ำตามรอยพับ (เช่น ข้อศอก ขาพับเรียกว่า "เส้นพาสเตีย (Pastia’s lines)") ในช่วงประมาณสัปดาห์แรก และในช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ไปแล้วมีอาการผิวหนังลอก

ในรายที่อาการไม่ชัดเจน อาจต้องส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี Rapid strep test, การเพาะเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาแบบเดียวกับทอนซิลอักเสบ

ที่สำคัญ คือ ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี, อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น

ผลการรักษา เมื่อกินยาปฏิชีวนะได้ครบตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้ากินไม่ครบหรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งหากกลายเป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน หรือไข้รูมาติก ก็อาจเป็นเรื้อรังหรือมีภาวะร้ายแรงได้


การดูแลตนเอง

หากมีอาการไข้ เจ็บคอ และผื่นขึ้นตามตัว หรือสงสัยว่าเป็นอีดำอีแดง ควรปรึกษาแพทย์ หากตรวจพบว่าเป็นอีดำอีแดง ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้

    พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    กินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป นม น้ำหวาน
    กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
    ถ้าเจ็บคอมากให้ดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรืออมก้อนน้ำแข็ง
    กินยาบรรเทาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้) และกินยาปฏิชีวนะ (ในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย) ให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด

ควรกลับไปพบแพทย์ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อนี้

    มีอาการผิดสังเกตแทรกซ้อนตามมา เช่น ปวดศีรษะมาก ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก ปวดหู หูอื้อ กลืนลำบาก ปวดที่โหนกแก้มหรือหัวคิ้ว หายใจหอบ เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ปวดบวมตามข้อ มีผื่นขึ้นตามตัว เท้าบวม ปัสสาวะสีแดง เป็นต้น
    ดูแลรักษา 3-4 วันแล้ว อาการไม่ดีขึ้น
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

เมื่อมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นอีดำอีแดงให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการไอหรือจามรดผู้อื่น


ข้อแนะนำ

1. ควรเน้นให้กินยาปฏิชีวนะจนครบตามระยะที่กำหนด

2. ควรแยกผู้ป่วย จนกว่าจะให้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จึงจะไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น

3. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว



14
มอเตอร์โชว์ 2025: Continental PremiumContact 6 และ EcoContact 6 ได้รับเลือกจาก Changan ให้เป็นยางมาตรฐานจากโรงงานสำหรับ AVATR 11

คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี ตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาดยางรถยนต์ด้วยการได้รับเลือกจาก ฉางอาน ออโตโมทีฟ (CHANGAN Automotive) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจากประเทศจีน ในการผลิตและส่งมอบยางรถยนต์รุ่น PremiumContact 6 และ EcoContact 6 เพื่อเป็นยาง OE (Original Equipment) เพียงเจ้าเดียวให้กับรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่น ChangAn AVATR 11 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

มร. คาเรล คูเซรา (Mr. Karel Kucera) กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา คอนติเนนทอลได้ส่งมอบยางให้แก่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของโลกกว่า 10 รายเป็นครั้งแรก นับเป็นความภาคภูมิใจของเราเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจากฉางอาน ให้เป็นผู้ผลิตและส่งมอบยางรุ่น PremiumContact 6 และ EcoContact 6 เพื่อติดตั้งเป็นยางมาตรฐานจากโรงงานในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น ChangAn AVATR 11 การเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจยางรถยนต์ของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการร่วมมือกันขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างเต็มพลังยิ่งขึ้น”
 

ยางคอนติเนนทอลรุ่น PremiumContact 6 ถูกออกแบบมาโดยยึดความปลอดภัยและความสะดวกสบายเป็นหลักมาพร้อมเทคโนโลยี Safety Silica Compound ช่วยให้ยางยึดเกาะถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาพอากาศ และช่วยรีดน้ำเพื่อมอบสมรรถนะการเบรกสูงสุดแม้บนถนนเปียก พร้อมเพลิดเพลินไปกับการขับขี่ที่เงียบสงบกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี ContiSilent ซึ่งใช้ตัวดูดซับยางด้านในที่ทำจากโพลียูรีเทนโฟมในการลดการสั่นสะเทือนของยาง และป้องกันเสียงรบกวนจากพื้นถนนด้านนอกขณะขับขี่ไม่ให้ส่งผ่านล้อเข้าสู่ภายในตัวรถ โดยสามารถลดเสียงรบกวนจากพื้นถนนและเสียงล้อได้ถึง 9 เดซิเบล ขึ้นอยู่กับชนิดของรถยนต์ ความเร็ว และสภาพถนน
 

“คอนติเนนทอล ไทร์ส ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 15 ปี และยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีคุณภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดรถยนต์ในทุกมิติ ปัจจุบันเรามีโรงงานที่ใหญ่และทันสมัยที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ด้วยกำลังการผลิตถึง 4.8 ล้านเส้นต่อปี ในตอนนี้เรากำลังเดินหน้าขยายโรงงานเข้าสู่เฟสที่ 2 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตยางรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเล็ก เพื่อรองรับความต้องการของยางรถยนต์ระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกา” มร. คาเรล กล่าวทิ้งท้าย

15
ตรวจสุขภาพ: โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth disease)

โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งติดต่อได้ง่าย มักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ในบ้านเรามีรายงานผู้ป่วยโรคนี้ประมาณปีละ 1,500-3,000 ราย ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี บางครั้งพบระบาดตามสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาล


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อกลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ค็อกแซกกีเอและบี (coxsackie A, B) ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ส่วนใหญ่ติดต่อจากการกินอาหาร น้ำดื่ม หรือการดูดเลียนิ้วมือ หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละอองน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยการสูดเอาฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายที่ผู้ป่วยไอจามรด

ที่พบบ่อยที่สุด คือการติดเชื้อไวรัสค็อกแซกกีเอ ชนิด 16 ซึ่งอาการมักจะไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ที่พบน้อยแต่รุนแรง คือการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงตายได้

ระยะฟักตัว 3-7 วัน


อาการ

แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้น 1-2 วัน จะมีน้ำมูก เจ็บปาก เจ็บคอ ไม่ยอมดูดนม ไม่อยากกินอาหาร เด็กเล็กอาจร้องงอแง ตรวจดูในช่องปากจะพบมีจุดนูนแดง ๆ หรือมีน้ำใสอยู่ข้างใต้ ขึ้นตามเยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก ซึ่งต่อมาจะแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-8 มม. ซึ่งเจ็บมาก

ขณะเดียวกันก็มีผื่นขึ้นที่มือและเท้า บางรายขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วมือ หรือแก้มก้น ตอนแรกขึ้นเป็นจุดแดงราบก่อน แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำตามมา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-7 มม.

อาการไข้มักเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วันก็ทุเลาไปเอง แผลในปากมักหายได้เองภายใน 7 วัน ตุ่มที่มือและเท้าจะหายเองภายใน 10 วัน และมักไม่เป็นแผลเป็น

ในรายที่เป็นรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) อาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีอาการคัน อาจเกาจนติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง พุพอง

อาจมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากเจ็บแผลในปากจนดื่มน้ำได้น้อย

บางรายอาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งมักไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 10 วัน

ที่รุนแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ สมองอักเสบ ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) หรือเลือดออกในปอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงตายได้

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักเกิดในกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา มีรายงานการระบาดและการตายของเด็กเล็กที่ติดเชื้อชนิดนี้ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้ 38-39 องศาเซลเซียส

จุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือแผลที่เยื่อบุปาก ลิ้นและเหงือก

จุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แก้มก้น

ในรายที่จำเป็น แพทย์อาจทำการตรวจเชื้อไวรัสจากสิ่งคัดหลั่งที่คอหอย อุจจาระ หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบนผิวหนัง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้การรักษาตามอาการดังนี้

    ให้พาราเซตามอลลดไข้
    ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมากและใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยกินอาหารเหลว หรือของน้ำ ๆ (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ ของหวาน) โดยใช้ช้อนป้อน หรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด (สำหรับทารก) ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) บ่อย ๆ เพื่อลดอาการเจ็บแผล

2. ถ้าแผลกลายเป็นตุ่มหนอง หรือพุพองจากการเกา ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น

3. ถ้าเจ็บแผลในปากมากจนกินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และอาจให้ยาชา (เช่น lidocaine, benzocaine) ทาแผลในปากเพื่อลดความเจ็บปวด

4. ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาล ทำการตรวจเพิ่มเติมและรักษาตามภาวะแทรกซ้อนที่พบ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ร่วมกับมีแผลเปื่อยในปาก (ปากเจ็บ คอเจ็บ) และมีผื่นตุ่มขึ้นที่มือและเท้า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมือ-เท้า-ปาก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมากและใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยกินอาหารเหลว หรือของน้ำ ๆ (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ ของหวาน) โดยใช้ช้อนป้อน หรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด (สำหรับทารก) ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) บ่อย ๆ เพื่อลดอาการเจ็บแผล


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    กินอาหารหรือดื่มนมและน้ำได้น้อย หรือมีปัสสาวะออกน้อย
    ผื่นกลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพอง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ควรแยกผู้ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับผู้อื่นประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าตุ่มแผลต่าง ๆ จะหายดี เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก

2. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม ก่อนเตรียมอาหาร และก่อนเปิบอาหาร

3. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ขวดนม ช้อน ชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของเล่น เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้

4. ฝึกเด็กให้มีสุขนิสัยที่ดี รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนำนิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักจะวินิจฉัยจากลักษณะอาการ ซึ่งต้องแยกออกจากโรคเริม อีสุกอีใส แผลแอฟทัส พุพอง เป็นต้น (ตรวจอาการ ไข้ร่วมกับมีผื่นหรือตุ่มขึ้น และ ปากเจ็บ/แผลที่ปาก/ลิ้นเป็นฝ้าขาว ประกอบ)

2. ในผู้ใหญ่อาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อออกมาทางอุจจาระ ดังนั้น ควรป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระและก่อนเตรียมอาหาร

3. แม้ว่าโรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน (เต็มที่ไม่เกิน 2 สัปดาห์) แต่ควรแนะนำให้สังเกตภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ปอด และหัวใจอย่างใกล้ชิด หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

4. โรคนี้เป็นคนละชนิดกับโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยที่พบในสัตว์ (เช่น โค กระบือ) และไม่ติดเชื้อจากสัตว์ที่ป่วย

หน้า: [1] 2 3 ... 32
ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google โฆษณาฟรี ประกาศฟรี ขายฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว ลงโฆษณาฟรี google