โรคหัวใจ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย เนื่องจากคนมีพฤติกรรมเสี่ยงกันมากขึ้น ทั้งการรับประทานอาหาร การไม่ดูแลสุขภาพร่างกาย แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ เพราะอาการบางอย่างอาจจะคล้ายคลึงกับหลายโรค ดังนั้นเราจึงควรมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ รวมถึงการป้องกัน เพื่อสำรวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจหรือไม่นั่นเอง
หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น
หากคุณมีความเสี่ยงต่ออาการของโรคหัวใจ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือเบาหวาน ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจสอบความเสี่ยง และดูแลสุขภาพในระยะยาว เเละหากมีอาการควรพบแพทย์ทันที
หัวใจ คืออวัยวะที่มีหน้าที่เป็นตัวสัญญาณในร่างกาย ที่มีประสิทธิภาพ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเลือดไปตามหลอดเลือดทั่วร่างกาย เพื่อนำสารอาหารและออกซิเจนถึงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หัวใจมีการบีบตัวและคลายตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการไหลเวียนของเลือด โดยสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ คือห้องหัวใจซ้ายและห้องหัวใจขวา และสามารถรับ และส่งเลือดรอบทิศทางต่าง ๆ ในร่างกาย
หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างมากในร่างกาย เนื่องจากหากหัวใจเสียหายหรือไม่สามารถทำงานได้เพียงพอ จะส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดและร่างกาย การดูแลรักษาหัวใจและระบบหลอดเลือดเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพของเราให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
โรคหัวใจใครที่มีความเสี่ยง
โรคหัวใจเป็นอาการที่ส่งผลต่อหัวใจและระบบหลอดเลือด มีหลายปัจจัยที่ทำให้คนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
ปัจจัยที่มีต่อพันธุกรรม : ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจอาจมีการถ่ายทอดผ่านพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวที่เคยเป็นโรคหัวใจ ก็อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน
สภาพแวดล้อมและพฤติกรรม : การรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันสูง น้ำตาลมาก และเกลือสูง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มาก ไม่ออกกำลังกาย และมีน้ำหนักเกินตัว เป็นต้น เป็นปัจจัยที่เสี่ยงที่จะทำให้คนมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ
โรคร่วมอื่น ๆ : คนที่มีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคไขมันในเลือดสูง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหัวใจ
อายุ : ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น ผู้สูงอายุมักมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจสูงขึ้น
เพศ : ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจสูง กว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงหลายคนก็สามารถมีโรคหัวใจได้
ความเครียดและภาวะสุขภาพจิต : ภาวะเครียดที่เกิดจากการที่ความเครียดทางจิตใจ อาจมีผลต่อสุขภาพหัวใจ
สภาพของร่างกาย : การที่มีน้ำหนักตัวเกิน ความอ้วน อาจทำให้เสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าคนที่มีร่างกายสมส่วน
อาการเริ่มต้นของโรคหัวใจเกิดจากอะไร
อาการเริ่มต้นของโรคหัวใจมักจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่สามารถมีผลต่อการทำงานของหัวใจและระบบหลอดเลือดในร่างกาย บางครั้งอาการเริ่มต้นจะไม่แสดงออกมาเป็นที่เเน่ชัด แต่บางครั้งก็อาจมีอาการที่มีความรุนแรงมากขึ้น
อาการเริ่มต้นที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ จะมีอาการ ดังนี้
อาการเจ็บแน่นหน้าอก : อาจมีความรู้สึกเจ็บหน้าอกหรืออักเสบในบริเวณทรวงอก อาจมีลักษณะความรุนแรงที่แตกต่างกันไป เช่น เจ็บปวดหนักมาก หรือความรู้สึกเสียวแสบขณะแรงกดที่ทรวงอก
หายใจเหนื่อยหอบ : อาจมีอาการหายใจเหนื่อยหอบหรือหายใจไม่อิ่มเอิบ เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นกับกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม
อาการเหงื่อออกมาก : อาจมีการเหงื่อออกมากขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
ความรู้สึกหนาว หรือมีหนาวบ่อย: ผู้ที่เริ่มมีปัญหาเรื่องหัวใจอาจมีอาการรู้สึกหนาว หรือความรู้สึกเหมือนหนาวบ่อยครั้ง
อาการเมื่อยล้า : ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอาจมีความเมื่อยล้ามากขึ้นโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนหลังจากกิจกรรมที่มักทำได้ดีก่อนหน้า
อาการหงุดหงิด หรือความเครียด : อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์เช่น อาการหงุดหงิด หรือความเครียดโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
โรคหัวใจเกิดขึ้นจากความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือดที่เชื่อมโยงกับหัวใจ สาเหตุหลักของโรคหัวใจมักเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อสุขภาพหัวใจ อาจมีปัจจัยที่เป็นสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ สำหรับบางคนอาจจะมีหลายปัจจัยที่มีผลร่วมกันในการเกิดโรคหัวใจด้วย
ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุหรือเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
เสี่ยงสูงของไขมันในเลือด : การมีระดับไขมันสูงในเลือด (ไขมันในเลือดเสี่ยงสูงหรือไขมันแอลดีแอลสูง) สามารถสะสมในผนังหลอดเลือดและทำให้เกิดการอุดตันที่ส่วนสำคัญของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดหลอดเลือดซึ่งสำคัญในการนำเลือดไปสู่หัวใจ ซึ่งเรียกว่า "การตีบตัน" (atherosclerosis) ได้
ความดันโลหิตสูง : ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้หัวใจต้องเพิ่มความพยายามในการสูบเลือดจากหลอดเลือดที่มีความดันสูง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด
สุขภาพของหลอดเลือด : หลอดเลือดที่ดีและมีความยืดหยุ่นมีความสามารถในการรับมือกับการเสียเสียงของเลือดที่ไหลผ่าน หากหลอดเลือดเสื่อมสภาพ เช่น จากการตีบตัน มันอาจทำให้เกิดการอุดตันและสะสมตับอื่น ๆ ที่สามารถเกิดโรคหัวใจได้
สุขภาพระบบการทำงานของหัวใจ : ความผิดปกติในโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ อาจเกิดจากการติดเชื้อ โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือปัจจัยที่รบกวนระบบไหลเวียนของหัวใจ
สุขภาพทางจิตใจ : ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความโกรธก็สามารถส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยงในระบบหัวใจและการยืดหยุ่นของหลอดเลือด
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ : พฤติกรรมอย่างเช่น การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก และขาดการออกกำลังกาย สามารถเสริมเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
ปัจจัยทางพันธุกรรม : ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจอาจสืบทอดมาจากครอบครัว หากคุณมีคนในครอบครัวที่เคยเป็นโรคหัวใจในอายุเยาว์ คุณอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease: CAD or Coronary Heart Disease) เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของเส้นเลือดในหลอดเลือดหัวใจ (coronary arteries) ที่ส่งเลือดและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ โดยส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมของเส้นเลือดด้วยไขมัน (atherosclerosis) ซึ่งทำให้เส้นเลือดหัวใจแข็งและมีการยุบตัว ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านได้ตามปกติ และส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับเลือดและออกซิเจนเพียงพอ
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่:
อาการเจ็บแน่นหน้าอก
อาการหายใจเหนื่อย
อาการเจ็บหน้าแข้ง
อาการหน้ามืดหรือเวียนศีรษะ
อาการหน้ามืดหรือเวียนเมื่อออกกำลังกาย
อาการท้องเสีย
อาการเหนื่อยหอบในเวลาพัก
ควรระวังถึงอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และหากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม การรักษาอาจแบ่งออกเป็นการดำเนินชีวิต เเละการใช้ยาและการผ่าตัดตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
โรคหัวใจ ควรพบแพทย์เมื่อใด
โรคหัวใจเป็นเรื่องที่สำคัญและควรระวังอยู่เสมอ การพบแพทย์เมื่อมีอาการหรือปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา
อาการที่ควรพบแพทย์ มีดังต่อไปนี้
อาการเจ็บแน่นหน้าอก : หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก บวมหรือรู้สึกหนักบริเวณทรวงอก ควรพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นเครื่องชี้วัดของปัญหาหัวใจร้ายแรง เช่น หัวใจขาดเลือดหรือเส้นเลือดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน.
อาการหายใจเหนื่อย : หากมีอาการหายใจเหนื่อย หอบเหนื่อย หรือรู้สึกหายใจไม่ออกเป็นปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสอบว่ามีปัญหาทางหัวใจหรือไม่
อาการเจ็บแน่นหน้าแข้งหรือแขน : อาการเจ็บแน่นหรือปวดบริเวณแข้งหรือแขนซ้ายอาจเป็นได้แบบมีหรือไม่มีความสัมพันธ์กับการใช้กำลังงาน อาจเป็นเครื่องชี้วัดของการตีบวกหัวใจ.
อาการหน้ามืด หน้าขาวงอน หรืออาเจียน : การมีอาการหน้ามืด หน้าขาวงอน หรืออาเจียนอย่างเฉียบพลันอาจเป็นอาการของการระคายเคืองหัวใจ.
อาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย : หากคุณมีอาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียแม้ในกิจวัตรประจำวัน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสอบสุขภาพหัวใจและระบบหลอดเลือด
ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย : ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกายเพื่อดูแลหัวใจและสุขภาพทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและแผนการดูแลสุขภาพ.
การรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจขึ้นอยู่กับประเภทและระดับความรุนแรงของโรคหัวใจ ซึ่งอาจมีวิธีรักษาที่แตกต่างกันไปในเเต่ละบุคคล
การป้องกันและการรักษาโรคหัวใจหลังเกิดโรค:
การรักษาแบบไม่ยา: การรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การควบคุมน้ำหนัก การลดบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารหวาน และการลดความเครียด
การรักษาโรคหัวใจหลังเกิดกลุ่มหลอดเลือดหัวใจ:
ยาลดไขมัน: เช่น สตาติน, สิมวาสแตติน เป็นต้น เพื่อควบคุมระดับไขมันในเลือด
ยาลดความดันโลหิต: เช่น ยาแบบเอ็นซิม, ยาแบบเบต้าบล็อกเกอร์ เป็นต้น เพื่อควบคุมความดันโลหิต
การผ่าตัดหรือการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น การเติมหลอดเลือดหัวใจ, การติดตั้งเครื่องช่วยหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจหลังเกิดหัวใจวาย:
การใช้ยาป้องกันการเกิดอีก: เช่น ยาแอสพิริน, ยาแบบคลอแรน, ยาแบบโปรตีนเอนไซม์ เป็นต้น
การควบคุมปัจจัยเสี่ยง: เช่น ความดันโลหิต, ระดับน้ำตาลในเลือด
การรักษาแบบศัตรูของระบบธนาคารเลือด: เช่น ยาลดความแข็งของหลอดเลือด, ยาลดความเสี่ยงจากการเกิดแท่งเลือด
การรักษาโรคหัวใจหลังการผ่าตัดหัวใจ:
การควบคุมความปวด : ใช้ยาและการจัดการความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด
การฟื้นฟูร่างกาย : การฝึกซ้อมร่างกายเบื้องต้นที่ได้รับอนุญาตจากแพทย์
การปฏิบัติตามคำแนะนำ : การทานยาตามคำสั่งแพทย์และปฏิบัติตามระเบียบวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคหัวใจ
การวินิจฉัยโรคหัวใจแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและสอบถามประวัติของคนไข้และครอบครัว นอกจากการสอบถามประวัติโดยละเอียด การตรวจร่างกายการตรวจเลือด และเอกซเรย์ทรวงอกแล้ว การทดสอบพิเศษทางหัวใจต่างๆจะช่วยในการวินิจฉัย เช่น
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจทดสอบที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด
เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง หรือ Ambulatory ECG Monitoring หรือ Holter ECG
เป็นอุปกรณ์ ECG แบบพกพาที่สามารถใส่เพื่อบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องโดยปกติจะใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง การตรวจสอบ โดยใช้เพื่อตรวจจับปัญหาจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่พบในระหว่างการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Echocardiogram
เป็นการทดสอบแบบใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ เพื่อสร้างภาพและตรวจวัดโครงสร้างหัวใจโดยละเอียด ขนาดของหัวใจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจลิ้นหัวใจผนังกั้นและผนังหุ้มหัวใจ
Stress Test
เป็นการทดสอบการเพิ่มอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจด้วยการออกกำลังกาย หรือยา และวัดการตอบสนองทั้งชีพจรความดันโลหิตความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจและบางรายวัดความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจโดยการตรวจ Echocardiogram (Stress Echocardiogram) ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางครั้งประเมินหลอดเลือดและสมรรถภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่ผนังหัวใจ
การสวนหัวใจ
เป็นการใส่ท่อสั้น ๆ เข้าไปในหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงบริเวณขาหรือแขน เพื่อตรวจวัดภายในห้องหัวใจโดยตรงหรือการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ หรือผนังกั้นหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
การสแกนเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ หรือ CT SCAN
เป็นการทดสอบแบบใช้เอ็กซเรย์เพื่อสร้างภาพโครงสร้างโดยละเอียด เพื่อวัดคะแนนหินปูนของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Score) และหากฉีดสารทึบรังสีด้วย จะได้ภาพของหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดแดงใหญ่ หลอดเลือดปอด เพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ผนังหัวใจ
การดูเเลตัวเองให้ห่างไกลโรคหัวใจ
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคหัวใจเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำในทุกวัน เนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตที่หลายคนเป็นตัวอย่าง
สามารถทำเพื่อรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในสภาวะที่ดี ดังนี้
ออกกำลังกายเป็นประจำ : การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างระบบหัวใจและหลอดเลือดเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันหรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาต่าง ๆ
รักษาน้ำหนักตัวที่เหมาะสม: การรักษาน้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ หากคุณมีน้ำหนักเกินมาก การลดน้ำหนักอาจช่วยลดความดันเลือดและระดับไขมันในเลือด
รับประทานอาหารที่เหมาะสม : ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ไข่ไก่ ปลา ถั่ว และเมล็ดพืช
ลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง: การลดการบริโภคเกลือจะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ
หลีกเลี่ยงสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ : สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
การจัดการกับความเครียด : การมีความเครียดอยู่เป็นเวลานานสามารถส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจ การปฏิบัติตัวในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด หรือการเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายอาจช่วยลดความเครียด
ตรวจสุขภาพประจำ : การตรวจสุขภาพประจำจะช่วยตรวจพบปัญหาหรือความผิดปกติทางสุขภาพก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อหัวใจ
รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์ : หากคุณมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คำแนะนำจากแพทย์และการรับประทานยาตามคำสั่งเป็นสิ่งสำคัญ
นอนพักผ่อนเพียงพอ : การนอนพักผ่อนเพียงพอช่วยลดความเครียด ปรับสมดุลของฮอร์โมน และรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในสภาพที่ดี
ตรวจหัวใจด้วยวิธีใดได้บ้าง
การตรวจหัวใจเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทั้งระยะยาวและระยะสั้นของระบบหัวใจและหลอดเลือด มีหลายวิธีที่ใช้ในการตรวจหัวใจ ดังนี้:
การตรวจฟังเสียงหัวใจ (Stethoscope Examination): การใช้สเตทโทสโคปในการฟังเสียงหัวใจ เพื่อตรวจสอบการเต้นของหัวใจและเสียงเจิดเติดของหลิวหัวใจ
การตรวจไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram, ECG): การวัดและบันทึกการเคลื่อนไหวของไฟฟ้าในหัวใจ ช่วยในการวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เช่น อัตราการเต้นหัวใจผิดปกติ หรือเริ่มต้นของกล้ามเนื้อหัวใจที่ไม่ปกติ
การตรวจเอ็กโควการ์ดิโอกราฟ (Echocardiography): การใช้เสียงคลื่นเอ็กโควในการสร้างภาพของหัวใจและการทำงานของมัน เป็นวิธีที่ใช้ในการตรวจหาความผิดปกติในโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ
การตรวจเอ็นจิโนกราฟี (Angiography): การฉายรังสีเพื่อตรวจสอบการไหลเวียนของเลือดในหัวใจและหลอดเลือด ช่วยในการตรวจหาglhoเลือดที่อุดตันหรือผิดปกติ
การตรวจคลื่นเสียงหัวใจ (Phonocardiography): การบันทึกเสียงของหัวใจและเสียงอื่น ๆ ที่เกิดจากการทำงานของหัวใจ ช่วยในการวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
การตรวจการยื่นหัวใจ (Cardiac Catheterization): การนำเข้าท่อช่วยในการฉายรังสีและตรวจสอบระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาปัญหาทางหัวใจ
การตรวจเอ็กโคซโกปี (Exercise Stress Test): การทดสอบการทำงานของหัวใจในขณะที่ผู้รับการตรวจทำกิจกรรมเพื่อเพิ่มการใช้พลังงาน เช่น การวิ่งบนลู่วิ่ง
การตรวจกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac MRI or CT Scan): การใช้รังสีแม่เหล็กหรือเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพของหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อตรวจสอบโครงสร้างและฟังก์ชันของหัวใจ
การเลือกวิธีตรวจหัวใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอาการของผู้รับการตรวจ แพทย์จะเห็นความเหมาะสมที่สุดในการตรวจหัวใจและทำการวินิจฉัยตามความจำเป็นและภาวะทางสุขภาพของผู้รับการตรวจ
โรคหัวใจ (Heart disease) อาการ สาเหตุ การป้องกัน เเละใครเสี่ยง? อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions/252