การเลือกผ้ากันไฟจึงควรเลือกที่มีคุณสมบัติ อะไรบ้างการเลือกผ้ากันไฟที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพการป้องกันและเกิดความปลอดภัยสูงสุด ควรพิจารณาจากคุณสมบัติหลัก ๆ ดังต่อไปนี้:
ความทนทานต่ออุณหภูมิ (Temperature Resistance):
อุณหภูมิใช้งานต่อเนื่อง (Continuous Operating Temperature): คืออุณหภูมิสูงสุดที่ผ้าสามารถทนทานได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่เสื่อมสภาพ
อุณหภูมิสูงสุดในระยะสั้น (Peak/Maximum Intermittent Temperature): คืออุณหภูมิสูงสุดที่ผ้าสามารถทนได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น จากสะเก็ดไฟหรือเปลวไฟ
การเลือก: ต้องเลือกผ้าที่สามารถทนอุณหภูมิได้สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุดที่คาดว่าจะต้องเผชิญในงานนั้น ๆ เสมอ เช่น:
งานเชื่อมทั่วไป: ผ้าใยแก้ว (ประมาณ 550°C) อาจเพียงพอ
งานตัดโลหะหนัก, งานหล่อหลอม: ผ้าซิลิก้า (สูงถึง 1,000-1,100°C) หรือ ผ้าเซรามิกไฟเบอร์ (สูงกว่า 1,200°C) จะเหมาะสมกว่า
ความสามารถในการกันไฟ/ไม่ลามไฟ (Flame Retardancy / Non-Combustibility):
ผ้ากันไฟที่ดีควรมีคุณสมบัติไม่ติดไฟ ไม่ลามไฟ และไม่เป็นเชื้อเพลิงเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟ
การเลือก: ตรวจสอบว่าผ้าได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น NFPA 701, EN ISO 11612 หรือมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการหน่วงไฟหรือการไม่ติดไฟ
ความต้านทานต่อการทะลุผ่านของสะเก็ดไฟ (Spark/Slag Resistance):
สำหรับงานเชื่อม ตัด หรือเจียร สะเก็ดไฟและลูกไฟที่กระเด็นออกมามีความร้อนสูงมาก ผ้าที่ดีจะต้องสามารถต้านทานการทะลุผ่านของสะเก็ดไฟเหล่านี้ได้โดยไม่เกิดรูหรือติดไฟ
การเลือก: พิจารณาความหนาและโครงสร้างการทอของผ้า รวมถึงการเคลือบสารบางชนิดที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อสะเก็ดไฟ เช่น ผ้าใยแก้วเคลือบซิลิโคน หรือผ้าซิลิก้า
ความต้านทานการฉีกขาดและการสึกหรอ (Tear & Abrasion Resistance):
ผ้ากันไฟมักใช้งานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน มีการเสียดสี หรือการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง ผ้าที่ดีควรมีความแข็งแรงทนทานต่อการฉีกขาดและสึกหรอ เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนาน
การเลือก: ดูจากความหนาแน่นของผ้า และการเสริมแรงด้วยการเคลือบสาร
คุณสมบัติการเคลือบผิว (Coating Properties):
ผ้ากันไฟหลายชนิดมีการเคลือบสารเพื่อเพิ่มคุณสมบัติ:
ลดการระคายเคือง (Itch-Free): โดยเฉพาะผ้าใยแก้ว การเคลือบด้วยซิลิโคนหรือสารอื่นๆ จะช่วยป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใยเล็กๆ ทำให้ไม่คันและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากขึ้น
กันน้ำ/น้ำมัน/สารเคมี: การเคลือบซิลิโคนหรือเทฟลอนช่วยให้ผ้าไม่ดูดซับของเหลว ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนและเพิ่มความปลอดภัย
ทำความสะอาดง่าย: พื้นผิวที่เคลือบจะช่วยให้คราบสกปรกไม่เกาะติดง่าย
เพิ่มความแข็งแรง: สารเคลือบบางชนิดช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผิวผ้า
การเลือก: พิจารณาจากสภาพแวดล้อมการใช้งานว่าต้องการคุณสมบัติเหล่านี้หรือไม่
น้ำหนักและความยืดหยุ่น (Weight & Flexibility):
สำหรับงานที่ต้องเคลื่อนย้ายผ้าบ่อยๆ หรือหุ้มอุปกรณ์ที่มีรูปทรงซับซ้อน ผ้าที่มีน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่นสูงจะสะดวกต่อการใช้งานมากกว่า
การเลือก: ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ถ้าต้องการความคล่องตัวควรเลือกผ้าที่บางและเบา แต่ถ้าเน้นการป้องกันสูงสุด อาจต้องยอมรับน้ำหนักที่มากขึ้น
ปราศจากใยหิน (Non-Asbestos):
เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผ้ากันไฟในปัจจุบันควรมี เนื่องจากใยหินเป็นสารก่อมะเร็ง
การเลือก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผ้ากันไฟที่เลือกซื้อปราศจากส่วนผสมของใยหิน
การลดควันและก๊าซพิษ (Low Smoke & Toxic Gas Emission):
ในกรณีที่ผ้าสัมผัสกับความร้อนสูงหรือไหม้ ควรเลือกผ้าที่ไม่ปล่อยควันหรือก๊าซพิษในปริมาณมาก เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและผู้อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
มาตรฐานและการรับรอง (Standards & Certifications):
ตรวจสอบว่าผ้ากันไฟมีการรับรองจากมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง เช่น:
EN ISO 11612: สำหรับเสื้อผ้าป้องกันความร้อนและเปลวไฟ
NFPA 701: สำหรับการทดสอบการลามไฟของสิ่งทอ
FM Approved: สำหรับวัสดุที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมหนัก (บางชนิด)
การเลือก: มาตรฐานเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
สรุป:
การเลือกผ้ากันไฟที่ดีที่สุดคือการเลือกที่ เหมาะสมกับลักษณะงานและระดับความเสี่ยง ที่จะต้องเผชิญ โดยเน้นที่คุณสมบัติหลักคือ ความทนทานต่ออุณหภูมิและไฟ เป็นอันดับแรก ตามมาด้วย ความทนทานทางกายภาพ การเคลือบผิวเพื่อลดการระคายเคือง/กันน้ำ และ การรับรองมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าได้ผ้ากันไฟที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน.